10 August 2006

ถนนทุกสายมุ่งสู่ Search Engine Marketing

สัปดาห์นี้เริ่มด้วยการพาไปดูแนวโน้มของโฆษณาออนไลน์กันสักนิดนะครับ ได้อ่านจากงานวิจัยต่างประเทศ บอกว่าอีก 5 ปี ตัวเลขงบโฆษณาออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาน่าจะวิ่งไปถึงระดับ 15,000 ล้านเหรียญต่อปี (ประมาณ 600,000 ล้านบาท) โดยหลายธุรกิจเริ่มหันมาใช้งานสื่อออนไลน์กันมากขึ้น มีการใช้สื่อออนไลน์กับสื่อออฟไลน์ร่วมกัน และเริ่มหันไปวิเคราะห์ผู้บริโภคตามลักษณะพฤติกรรม (Behavioral targeting) มากขึ้น

อีกจุดที่น่าสนใจมากๆ ครับ เม็ดเงินในการโฆษณาออนไลน์เริ่มถูกเทมายังการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (Search Engine Marketing) เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำพวก สุขภาพ ยานยนต์ ซึ่งใช้งบโฆษณาเยอะกว่าเพื่อนอยู่แล้ว กลุ่ม เสื้อผ้า เกมส์ ท่องเที่ยว ก็หันมาใช้มาก เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มใช้ search engine ในการค้นหาสินค้าเหล่านี้มากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มสินค้า ด้านการเงิน และสื่อบันเทิง ด้วยเช่นกัน

สำหรับในบ้านเราการทำ Search Engine Marketing ก็ทำกันมาระยะหนี่งแล้วครับ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เน้นตลาดลูกค้าต่างประเทศ เช่น ท่องเที่ยว อัญมณี บริการสุขภาพ โดยใช้ Keyword ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันกลุ่มนี้มีกว่า 90% เลยนะครับ แต่ในปีนี้เราเริ่มเห็นคนทำตลาดในประเทศ และใช้ คีย์เวิร์ดภาษาไทยเริ่มหันมาใช้ Search Engine Marketing กันมากขึ้น เช่นกลุ่มประกันชีวิต อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น


ปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของ Search Engine Marketing คงหนีไม่พ้นความสามารถของ Search Engine เองโดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมใน Google อย่างในบ้านเรา ตัวเลขล่าสุดผู้ใช้งาน Google ในการค้นหาข้อมูลมีมากถึง 86% เลยทีเดียว นอกจากนั้นทาง Google เอง ก็พัฒนารูปแบบการโฆษณาใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้นักการตลาดได้ทำโฆษณากันง่ายขึ้น

ในสัปดาห์นี้ผมขอแนะนำการทำ Search Engine Marketing ผ่าน Google สองแบบใหญ่ๆ ที่ใช้กันมากในบ้านเราครับ

1. Search Engine Optimization (SEO) – คือการทำให้ Search Engine วิ่งมาเจอเว็บของเราได้ง่ายขึ้นครับ ถ้าลองใช้ Google สังเกตว่าผลการค้นหาของจำพวก SEO จะขึ้นแสดงผลทางซ้ายมือของหน้าจอ โดยนักการตลาดต่างหวังจะให้เว็บติดอันดับแสดงผลใน 10 อันดับแรก (หน้าแรก) ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะจากงานวิจัย คนที่ใช้งาน Search แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นครับ ที่เปิดไปดูผลการค้นหาหน้าที่สอง อีกครึ่งจบแค่หน้าแรก

ขั้นตอนการทำ SEO นั้นมีตั้งแต่การวิเคราะห์เว็บของคู่แข่ง การค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา การปรับแก้ Tag และข้อความในหน้าเว็บไซต์ รวมไปถึงการแลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ ทั้งหมดเพื่อให้ลิงค์ไปเว็บของเราถูกแสดงผลในอันดับสูงกว่า เว็บอื่นๆ

2. Pay Per Click (PPC) – เช่น Google AdWords แบบนี้ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Google แต่จะจ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกลิงค์มายังเว็บไซต์ของเราเท่านั้น ถ้าลองใช้ Google สังเกตนะครับ บางครั้งเวลาเราค้นหา Google จะแสดงลิงค์โฆษณาจำพวกนี้ขึ้นมาทางขวาของหน้าจอ เทคนิคสำคัญในการทำโฆษณา PPC นี้คือ การวิเคราะห์คู่แข่ง วิจัยและคิด Keyword รวมถึงการทำงบประมาณ ที่จะใช้ในแต่ละวันแต่ละเดือน

ในการโฆษณาแบบ PPC การจะจ่ายแต่ละคลิกมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคู่แข่งด้วยซึ่งหลายครั้งต้องประมูลแข่งกัน และบางคีย์เวิร์ดมีราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ อาทิเช่น Mesothelioma Lawyer (ใครทราบช่วยแปลทีครับ ผมแปลได้ว่า ที่ปรึกษาทนายเกี่ยวกับคดีมะเร็งเนื้องอกที่ปอด อันน่าจะเกิดจากการได้รับฝุ่นแร่ใยหินเข้าไป) ราคาถึง 600 บาทต่อคลิก Car Insurance (ประกันรถยนต์) ราคา 560 บาทต่อคลิก Debt Consolidation (การปรับโครงสร้างหนี้) ราคา 400 บาทต่อคลิก หรือ Student Loans (เงินกู้ยืมสำหรับนักศึกษา) ราคา 360 บาทต่อคลิก ทีเดียว

เนื่องจากการทำโฆษณาแบบ PPC เราจะต้องเสียค่าโฆษณาทุกครั้งที่มีคนคลิกเข้าเว็บไซต์ของเรา เรื่องสำคัญ (มาก) อีกหนึ่งเรื่องคือเราต้องพยายามจูงใจให้คนที่เข้ามายังเว็บไซต์เราแล้ว ซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือมีปฏิสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้มากที่สุด วิธีการก็คือปรับการออกแบบ และข้อความในหน้าเว็บไซต์ที่คนคลิกเข้ามาเจอให้มีลักษณะจูงใจให้เกิดการซื้ออย่างที่กล่าวข้างต้น

เทคนิคการทำโฆษณาผ่าน Search Engine ยังมีอีกมากนะครับ ท่านที่สนใจลองศึกษาด้วยตัวเองได้จากอินเตอร์เน็ต เช่น
http://www.webmasterworld.com http://www.seo.in.th จากหนังสือ “Search Engine Marketing 2.0” ของคุณ จตุพล ทานาฤทัย กูรูด้าน Search Engine ของไทยซึ่งได้ให้ความกรุณาเป็นที่ปรึกษา และให้ข้อมูลหลายอย่างประกอบในบทความนี้ด้วย หรือจะติดต่อขอคำปรึกษาจากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ก็สะดวกรวดเร็วดีเช่นกันครับ

มีความเห็นอย่างไร ลองอีเมล์มาคุยกันนะครับ และขอให้สนุกกับการทำ Search Engine Marketing กันทุกท่าน โชคดีครับ